พระราชดำรัสเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
พระราชดำรัสเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงเกือบ ๕ ทศวรรษที่ผ่านมา ให้ความสำคัญกับความมั่งคั่งทางวัตถุและวัดความสำเร็จจากตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากร ผลจากแผนพัฒนาฯ เป็นที่ประจักษ์กันดี ในระยะเวลาต่อมาว่าเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ขาดการประสานกันอย่างสมดุล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคม
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงภัยที่แฝงอยู่ในการพัฒนาดังกล่าว ทรงชี้ให้เห็นว่าควรเริ่มต้นที่การพัฒนา “คน” ให้มีความพอมีพอกินพอใช้ก่อนเนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาทุกสิ่ง โดยเฉพาะ ผลประโยชน์และการมีส่วนร่วมของประชาชน ทรงทุ่มเทกำลังพระวรกาย พระราชหฤทัย ตลอดจนพระปรีชาสามารถพัฒนาคนไทยด้วยการสร้างความพร้อมทั้งร่างกาย ความคิด และจิตใจ และเมื่อมีพื้นฐานมั่นคงแล้ว จึงค่อยตามมาด้วยการสร้างความเจริญและฐานทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น
นับตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๑๗ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือแนวทางการดำเนินชีวิตและวิถีปฏิบัติให้แก่ประชาชน นั่นคือ การเดินทาง สายกลางที่มีความพอเหมาะพอดี รู้จักประมาณตนมีเหตุผล พึ่งตนเอง และไม่ประมาท ตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ในการวางแผนตัดสินใจและลงมือดำเนินการใดๆ อันเป็นแนววิธีการ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชนและระดับประเทศ เพื่อเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาความยากจน ทั้งนี้ ทรงทำการทดลองปฏิบัติในพื้นที่เขตชนบทด้วยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ มากมายและขยายผลมาอย่างต่อเนื่อง และได้กลายเป็นฐานรองรับเป็นอย่างดีเมื่อประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตหลายด้านในเวลาต่อมา
"...ทั้งนี้ คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราพออยู่พอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบและทำงานตั้งจิตอธิษฐานปณิธาน จุดมุ่งหมายในแง่นี้ในทางนี้ ที่จะให้เมืองไทยอยู่พออยู่พอกิน ไม่ใช่รุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่าการพออยู่พอกินมีความสงบนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้ารักษาความพออยู่พอกินได้ เราจะยอดยิ่งยวด ..."
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะผู้แทนสมาคม องค์การเกี่ยวกับศาสนา ครู นักเรียนโรงเรียนต่างๆ นักศึกษามหาวิทยาลัย ในโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๗
ในเบื้องต้น แนวพระราชดำริดังกล่าวมีความก้าวล้ำเกินกว่าสถานการณ์ในขณะนั้น ประเทศไทยยังคงพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสืบต่อมาอีกหลายฉบับ เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัว ในอัตราสูงและต่อเนื่อง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นการณ์ไกลและมีพระราชดำรัสเตือนผู้บริหารระดับสูงและประชาชนมิให้ประมาท หลงไปกับอัตราตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะความพยายามที่จะเป็น “เสือตัวที่ ๕” หรือมหาอำนาจทางการค้าแห่งเอเชีย ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสความว่า
"...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ ในทางดีที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทยเรานี่ก้าวหน้าดี การเงิน การอุตสาหกรรม การค้าดี มีกำไร. อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไป...มีทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินมากๆ มีการกู้มาลงทุนมากๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วประเทศก็เจริญ มีหวังเป็นมหาอำนาจ. แต่ก็ต้องเตือนเขาว่า จริง ตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชน ก็จะไม่มีทาง..."
อย่างไรก็ดี การที่ความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมิได้มาจากภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง กอปรกับที่ดินมีราคาสูงขึ้นอย่างผิดปกติ เกษตรกรจำนวนมากนิยมขายที่ดินออกไปแลกกับความร่ำรวยระยะสั้น ทำให้ประเทศไทยอยู่ในภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ที่ไม่มีใครรู้ทันและไม่ทันตั้งตัว
ความวิกฤตได้ย่างมาถึงในพุทธศักราช ๒๕๔๐ ในครั้งนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำรัสเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอีกครั้ง เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่พสกนิกรที่กำลังสิ้นหวังและท้อแท้จากวิกฤต เศรษฐกิจ ซึ่งพระราชดำรัสดังกล่าวประดุจพรวิเศษที่ทำให้พสกนิกรมีกำลังใจในการฝ่าฝันวิกฤต
"...การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ. สำคัญอยู่ที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่า อุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตนเอง. อันนี้ก็เคยบอกว่าความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัว จะต้องผลิตอาหารของตัวเอง จะต้องทอผ้าใส่เอง. อย่างนั้นมันเกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร. บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการ ก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไหร่ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก ..."
พุทธศักราช ๒๕๔๑ และพุทธศักราช ๒๕๔๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงย้ำเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงอีกครั้งว่า
"...คนเราถ้าพอในความต้องการ ก็มีความโลภน้อย เมื่อมีความโลภน้อย ก็เบียดเบียนคนอื่นน้อย. ถ้าทุกประเทศมีความคิด -อันนี้ไม่ใช่เศรษฐกิจ- มีความคิดว่าทำอะไรต้องพอเพียง หมายความว่า พอประมาณไม่สุดโต่ง ไม่โลภอย่างมาก คนเราก็อยู่เป็นสุข..."