ทศวรรษที่2
ทศวรรษที่๑
(พ.ศ.๒๔๗๐ - ๒๔๗๙)
ทศวรรษที่ ๒
(พ.ศ.๒๔๘๐ - ๒๔๘๙)
ทศวรรษที่ ๓
(พ.ศ.๒๔๙๐ - ๒๔๙๙)
ทศวรรษที่ ๔
(พ.ศ.๒๕๐๐ - ๒๕๐๙)
ทศวรรษที่ ๕
(พ.ศ.๒๕๑๐ - ๒๕๑๙)
ทศวรรษที่ ๖
(พ.ศ.๒๕๒๐ - ๒๕๒๙)
ทศวรรษที่ ๗
(พ.ศ.๒๕๓๐ - ๒๕๓๙)
ทศวรรษที่ ๘
(พ.ศ.๒๕๔๐ - ๒๕๕๐)
...ประเทศชาติของเราจะเจริญหรือเสื่อมลงนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการศึกษาของประชาชนแต่ละคนเป็นสำคัญ...
ผลการศึกษาอบรมในวันนี้จะเป็นเครื่องกำหนดอนาคตของชาติในวันข้างหน้า...
พระราชดำรัส วันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๐๘
สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อในเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙ ในครั้งนี้ ทรงเปลี่ยน
แปลงแขนงวิชาที่กำลังทรงศึกษาเพื่อให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่การปกครองประเทศ
ในอนาคต
มายเสียจริงๆ ที่ถนนราชดำเนินกลางราษฎรเข้ามาใกล้ชิดรถที่เรานั่ง กลัวเหลือเกินว่าล้อรถ
ของเราจะไปทับแข้งทับขาใครเขาบ้าง รถแล่นฝ่าฝูงชนไปได้อย่างช้าที่สุด ถึงวัด
เบญจมบพิตรรถแล่นได้เร็วขึ้นบ้าง ตามทางที่ผ่านมาได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมา
ดัง ๆ ว่า '...อย่าละทิ้งประชาชน...' อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า
จากพระราชดำรัสดังกล่าวเป็นดั่งคำสัญญาที่จะเสด็จฯ กลับมา สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพัน
ที่ทรงมีต่ออาณาประชาราษฎร์ต่อเนื่องมาตั้งแต่แรกเริ่มรัชกาล ซึ่งอธิบายได้จากพระราช
หัตถเลขาที่ทรงมีถึงพระสหายเก่าหลังครองสิริราชสมบัติแล้ว ความว่า
ข้าพเจ้าสำนึกในความรักอันมีค่ายิ่ง แต่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้โดยการทำงานที่นี่ว่า ที่ของ
ข้าพเจ้าในโลกนี้คือ การได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า นั่นคือคนไทย
ทั้งปวง..."
แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงต้องเสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อในเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙ ในครั้งนี้ ทรงเปลี่ยนแปลงแขนงวิชาที่กำลังทรงศึกษาเพื่อให้เหมาะสมและเป็นประโยชน์แก่การปกครองประเทศในอนาคต
จากพระราชดำรัสดังกล่าวเป็นดั่งคำสัญญาที่จะเสด็จฯ กลับมา สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันที่ทรงมีต่ออาณาประชาราษฎร์ต่อเนื่องมาตั้งแต่แรกเริ่มรัชกาล ซึ่งอธิบายได้จากพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีถึงพระสหายเก่าหลังครองสิริราชสมบัติแล้ว ความว่า
ข้อมูลจาก หนังสือ ประมวลภาพการทรงงาน "๘๐ พรรษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์"
จัดทำโดยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ