ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชดำรัสเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง"

(สร้างหน้าใหม่: <div id="bg_g2t"> </div> <div id="bg_g2"> <center><h1>พระราชดำรัสเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐก...)
(ไม่แตกต่าง)

รุ่นแก้ไขเมื่อ 10:41, 7 ตุลาคม 2552

 

พระราชดำรัสเกี่ยวกับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ต้นทศวรรษที่ ๒ แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลได้กำหนดแนวทางพัฒนาประเทศด้วยการประกาศใช้แผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติต่อเนื่องกันหลายฉบับ เริ่มตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๐๔ เป็นต้นมา ถึงแม้ว่าการใช้แผนพัฒนาฯ ในช่วงแรกๆ ทำให้เศรษฐกิจของประเทศมีความเติบโตอย่างรวดเร็วก็ตาม ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ในภาวะพึ่งพิงเทคโนโลยี เงินทุน และพลังงานจากต่างประเทศ ก่อให้เกิดภาวะความเสี่ยงสูงต่อการผันผวนจากปัจจัยภายนอกซึ่งมีผลกระทบถึงประชาชนระดับล่างอันเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อฐานรากทางเศรษฐกิจของประเทศเกิดความไม่มั่นคงจึงตามมาด้วยปัญหาสังคมนานัปการที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยในช่วงเกือบ ๕ ทศวรรษที่ผ่านมา ให้ความสำคัญกับความมั่งคั่งทางวัตถุและวัดความสำเร็จจากตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อหัวของประชากร ผลจากแผนพัฒนาฯ เป็นที่ประจักษ์กันดี ในระยะเวลาต่อมาว่าเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน ขาดการประสานกันอย่างสมดุล ทั้งด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมและสังคม

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักถึงภัยที่แฝงอยู่ในการพัฒนาดังกล่าว ทรงชี้ให้เห็นว่าควรเริ่มต้นที่การพัฒนา “คน” ให้มีความพอมีพอกินพอใช้ก่อนเนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาทุกสิ่ง โดยเฉพาะ ผลประโยชน์และการมีส่วนร่วมของประชาชน ทรงทุ่มเทกำลังพระวรกาย พระราชหฤทัย ตลอดจนพระปรีชาสามารถพัฒนาคนไทยด้วยการสร้างความพร้อมทั้งร่างกาย ความคิด และจิตใจ และเมื่อมีพื้นฐานมั่นคงแล้ว จึงค่อยตามมาด้วยการสร้างความเจริญและฐานทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น

นับตั้งแต่พุทธศักราช ๒๕๑๗ เป็นต้นมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หรือแนวทางการดำเนินชีวิตและวิถีปฏิบัติให้แก่ประชาชน นั่นคือ การเดินทาง สายกลางที่มีความพอเหมาะพอดี รู้จักประมาณตนมีเหตุผล พึ่งตนเอง และไม่ประมาท ตลอดจนการใช้ความรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ในการวางแผนตัดสินใจและลงมือดำเนินการใดๆ อันเป็นแนววิธีการ ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งในระดับครอบครัว ชุมชนและระดับประเทศ เพื่อเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาความยากจน ทั้งนี้ ทรงทำการทดลองปฏิบัติในพื้นที่เขตชนบทด้วยโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่างๆ มากมายและขยายผลมาอย่างต่อเนื่อง และได้กลายเป็นฐานรองรับเป็นอย่างดีเมื่อประเทศต้องเผชิญกับวิกฤตหลายด้านในเวลาต่อมา

061009-พอเพียง3.jpg

"...ทั้งนี้ คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราพออยู่พอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทยพออยู่พอกิน มีความสงบและทำงานตั้งจิตอธิษฐานปณิธาน จุดมุ่งหมายในแง่นี้ในทางนี้ ที่จะให้เมืองไทยอยู่พออยู่พอกิน ไม่ใช่รุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่าการพออยู่พอกินมีความสงบนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้ารักษาความพออยู่พอกินได้ เราจะยอดยิ่งยวด ..."

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะผู้แทนสมาคม องค์การเกี่ยวกับศาสนา ครู นักเรียนโรงเรียนต่างๆ นักศึกษามหาวิทยาลัย ในโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย วันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๗

ในเบื้องต้น แนวพระราชดำริดังกล่าวมีความก้าวล้ำเกินกว่าสถานการณ์ในขณะนั้น ประเทศไทยยังคงพัฒนาประเทศตามแผนพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสืบต่อมาอีกหลายฉบับ เศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัว ในอัตราสูงและต่อเนื่อง แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นการณ์ไกลและมีพระราชดำรัสเตือนผู้บริหารระดับสูงและประชาชนมิให้ประมาท หลงไปกับอัตราตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วงเวลานั้น โดยเฉพาะความพยายามที่จะเป็น “เสือตัวที่ ๕” หรือมหาอำนาจทางการค้าแห่งเอเชีย ดังจะเห็นได้จากพระราชดำรัสความว่า

"...ตามปกติคนเราชอบดูสถานการณ์ ในทางดีที่เขาเรียกว่าเล็งผลเลิศ ก็เห็นว่าประเทศไทยเรานี่ก้าวหน้าดี การเงิน การอุตสาหกรรม การค้าดี มีกำไร. อีกทางหนึ่งก็ต้องบอกว่าเรากำลังเสื่อมลงไป...มีทฤษฎีว่า ถ้ามีเงินมากๆ มีการกู้มาลงทุนมากๆ หมายความว่าเศรษฐกิจก้าวหน้า แล้วประเทศก็เจริญ มีหวังเป็นมหาอำนาจ. แต่ก็ต้องเตือนเขาว่า จริง ตัวเลขดี แต่ว่าถ้าเราไม่ระมัดระวังในความต้องการพื้นฐานของประชาชน ก็จะไม่มีทาง..."

พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะบุคคลต่างๆ ที่เข้าเฝ้าฯ ถวายชัยมงคลในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิตวันที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๖

อย่างไรก็ดี การที่ความเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมิได้มาจากภาคเศรษฐกิจที่แท้จริง กอปรกับที่ดินมีราคาสูงขึ้นอย่างผิดปกติ เกษตรกรจำนวนมากนิยมขายที่ดินออกไปแลกกับความร่ำรวยระยะสั้น ทำให้ประเทศไทยอยู่ในภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ที่ไม่มีใครรู้ทันและไม่ทันตั้งตัว