ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ทรงพระผนวช"
Haiiwiki (คุย | มีส่วนร่วม) |
Haiiwiki (คุย | มีส่วนร่วม) |
||
แถว 6: | แถว 6: | ||
เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐ หลังจากทรงประกอบพิธีเฉลิมพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ซึ่งปรับปรุงแล้วเสร็จ ทรงย้ายที่ประทับจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตไปประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานเป็นที่ประทับถาวร | เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐ หลังจากทรงประกอบพิธีเฉลิมพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ซึ่งปรับปรุงแล้วเสร็จ ทรงย้ายที่ประทับจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตไปประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานเป็นที่ประทับถาวร | ||
+ | </div> | ||
+ | |||
+ | '''ทรงพระผนวชเพื่อเข้าถึงแก่นแท้แห่งธรรม''' | ||
+ | <div class="kindent">การเสด็จออกทรงพระผนวชของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ นับเป็นการสะท้อนว่าทรงป็นพุทธมามกะซึ่งเปี่ยมด้วยความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างชัดเจนดังพระราชดำรัสในโอกาสเสด็จออกทรงพระผนวช วันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ ความตอนหนึ่งว่า | ||
+ | </div> | ||
+ | <center> | ||
+ | <span style="display:block; width:90%; color:#00AEEF; text-align:left">“...โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของเรา ทั้งตามความศรัทธาเชื่อมั่นของข้าพเจ้าเอง ก็เห็นเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง เนื่องในบรรดาสัจจธรรมคำสั่งสอนอันชอบด้วยเหตุผล จึ่งเคยคิดอยู่ว่าถ้าโอกาสอำนวยข้าพเจ้าควรจักได้บวชสักเวลาหนึ่งตามราชประเพณี ซึ่งจักเป็นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบูรพการีตามคตินิยมด้วย...”</span> | ||
+ | </center> | ||
+ | |||
+ | <div class="kindent">ตลอดระยะเวลา ๑๕ วันแห่งการทรงพระผนวชของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยพระฉายาว่า "ภูมิพโลภิกขุ" พระองค์ทรงศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ทั้งการทรงลงโบสถ์ ทำวัตรเช้าและทำวัตรเย็น ทรงสดับพระธรรมเทศนาในวันธรรมสวนะ ทรงศึกษาพระธรรมวินัยร่วมกับภิกษุสามเณรในพระอารามและตามที่พระราชอุปัชยาจารย์จัดถวาย ไม่มีบกพร่องจนถึงวันสุดท้ายที่ทรงลาสิกขา | ||
</div> | </div> | ||
---- | ---- |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 17:04, 5 ตุลาคม 2552
ทรงพระผนวช
ในการทรงพระผนวชดังกล่าวนั้น ได้มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เพื่อปฏิบัติพระราชกรณียกิจในช่วงเวลา ๑๕ วันที่ยังดำรงสมณเพศอยู่และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์เป็นที่พอพระราชหฤทัย ดังนั้นเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙ จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ประกาศเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น “สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ” นับเป็นสมเด็จพระบรมราชินีนาถพระองค์ที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๐๐ หลังจากทรงประกอบพิธีเฉลิมพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต ซึ่งปรับปรุงแล้วเสร็จ ทรงย้ายที่ประทับจากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิตไปประทับ ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐานเป็นที่ประทับถาวร
ทรงพระผนวชเพื่อเข้าถึงแก่นแท้แห่งธรรม
“...โดยที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติของเรา ทั้งตามความศรัทธาเชื่อมั่นของข้าพเจ้าเอง ก็เห็นเป็นศาสนาที่ดีศาสนาหนึ่ง เนื่องในบรรดาสัจจธรรมคำสั่งสอนอันชอบด้วยเหตุผล จึ่งเคยคิดอยู่ว่าถ้าโอกาสอำนวยข้าพเจ้าควรจักได้บวชสักเวลาหนึ่งตามราชประเพณี ซึ่งจักเป็นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบูรพการีตามคตินิยมด้วย...”
๑พระนามเดิม ม.ร.ว. ชื่น นพวงศ์ ณ กรุงเทพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประกาศเฉลิมพระนามสมเด็จพระสังฆราชเจ้าให้เต็มพระเกียรติยศตามราชประเพณี เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประกาศสถาปนาพระอิสริยยศเป็น “สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์” เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙