ผลต่างระหว่างรุ่นของ "ฝนหลวง"
Haiiwiki (คุย | มีส่วนร่วม) |
Haiiwiki (คุย | มีส่วนร่วม) () |
||
แถว 48: | แถว 48: | ||
<div style="text-indent: 30px; padding-top:15px; color:darkblue">สร้างความมั่นใจ “น้ำฝนหลวง” บริโภคได้ พระราชทาน “สารฝนหลวง – ตำราฝนหลวง”</div> | <div style="text-indent: 30px; padding-top:15px; color:darkblue">สร้างความมั่นใจ “น้ำฝนหลวง” บริโภคได้ พระราชทาน “สารฝนหลวง – ตำราฝนหลวง”</div> | ||
− | <div style="text-indent: 30px; padding-top:15px">อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแต่ทรงมีพระราชดำริให้มีฝนเทียมเท่านั้น ความห่วงใยในพสกนิกรในพระองค์ยังครอบคลุมไปถึงความเชื่อมั่นในฝนหลวง เนื่องจากในการทำฝนหลวงต้องอาศัยสารเคมีหลายชนิด | + | <div style="text-indent: 30px; padding-top:15px">อย่างไรก็ดี ไม่เพียงแต่ทรงมีพระราชดำริให้มีฝนเทียมเท่านั้น ความห่วงใยในพสกนิกรในพระองค์ยังครอบคลุมไปถึงความเชื่อมั่นในฝนหลวง เนื่องจากในการทำฝนหลวงต้องอาศัยสารเคมีหลายชนิด ซึ่งประชาชนอาจหวาดหวั่นไม่กล้านำน้ำที่ได้ไปใช้ด้วยเกรงว่า สารเคมีในกระบวนการทำฝนหลวงจะมีอันตรายเมื่อนำไปอุปโภคบริโภคหรือไม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงพระราชทานคำว่า “สารฝนหลวง” สำหรับใช้เรียกสารเคมีต่างๆ เพื่อป้องกันความเข้าใจผิดดังกล่าว ทั้งที่แท้จริงแล้วสารเคมีที่ใช้ในการทำฝนหลวงล้วนแต่เป็นสารเคมีใกล้ตัว และสามารถพบเห็นตามครัวเรือนหรือใช้ในภาคการเกษตรทั่วไป ซึ่งเราอาจคาดไม่ถึงว่าเป็นสารฝนหลวง</div> |
<div style="text-indent: 30px; padding-top:15px">ยกตัวอย่างเช่น “เกลือแกง” หรือโซเดียมคลอไรด์ ซึ่งเป็นเครื่องปรุงหลักในการประกอบอาหาร “ยูเรีย” สารที่เรามักใช้ในการทำปุ๋ย หรือที่รู้จักกันดี คือ ปุ๋ยยูเรียสำหรับพืช ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อพืช สัตว์ และคน โดยในปัสสาวะของคนเราก็มียูเรียเช่นกัน ซึ่งเมื่อมีการโปรยสารเคมีเพื่อทำฝนเทียม สารเคมีเหล่านี้ยังจะเจือจางในบรรยากาศและมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำฝน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าน้ำฝนที่ได้จากฝนหลวงจะมีความบริสุทธิ์ไม่แตกต่างจากน้ำฝนธรรมชาติเลย</div> | <div style="text-indent: 30px; padding-top:15px">ยกตัวอย่างเช่น “เกลือแกง” หรือโซเดียมคลอไรด์ ซึ่งเป็นเครื่องปรุงหลักในการประกอบอาหาร “ยูเรีย” สารที่เรามักใช้ในการทำปุ๋ย หรือที่รู้จักกันดี คือ ปุ๋ยยูเรียสำหรับพืช ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อพืช สัตว์ และคน โดยในปัสสาวะของคนเราก็มียูเรียเช่นกัน ซึ่งเมื่อมีการโปรยสารเคมีเพื่อทำฝนเทียม สารเคมีเหล่านี้ยังจะเจือจางในบรรยากาศและมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับปริมาณน้ำฝน ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าน้ำฝนที่ได้จากฝนหลวงจะมีความบริสุทธิ์ไม่แตกต่างจากน้ำฝนธรรมชาติเลย</div> | ||
แถว 56: | แถว 56: | ||
<div style="text-indent: 30px; padding-top:15px">ด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้นี้ ดร.เกษม จันทร์แก้ว คณบดีวิทยาลัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า โครงการพระราชดำริฝนหลวงหรือฝนเทียมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวได้ว่า เป็นที่เดียวในโลกที่ทำและทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นที่รับรู้ทั่วโลก แม้ว่าการทำฝนเทียมจะเริ่มขึ้นในต่างประเทศ แต่พระองค์ก็ทรงมีเทคนิคการทำฝนเทียมเป็นแบบฉบับเฉพาะของพระองค์เอง ซึ่งต่างประเทศไม่มี และทรงทำได้ดีกว่า โดยในโครงการดังกล่าว พระองค์ทรงใช้ความพยายามมาก ทรงทำเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นเรื่องที่พระองค์ทรงไม่ดูดายในเรื่องทรัพยากรน้ำของประเทศ ตามที่พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า “น้ำคือชีวิต”</div> | <div style="text-indent: 30px; padding-top:15px">ด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อปวงชนชาวไทยอย่างหาที่สุดมิได้นี้ ดร.เกษม จันทร์แก้ว คณบดีวิทยาลัยสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่าด้วยความภาคภูมิใจว่า โครงการพระราชดำริฝนหลวงหรือฝนเทียมในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กล่าวได้ว่า เป็นที่เดียวในโลกที่ทำและทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นที่รับรู้ทั่วโลก แม้ว่าการทำฝนเทียมจะเริ่มขึ้นในต่างประเทศ แต่พระองค์ก็ทรงมีเทคนิคการทำฝนเทียมเป็นแบบฉบับเฉพาะของพระองค์เอง ซึ่งต่างประเทศไม่มี และทรงทำได้ดีกว่า โดยในโครงการดังกล่าว พระองค์ทรงใช้ความพยายามมาก ทรงทำเป็นระยะเวลายาวนาน เป็นเรื่องที่พระองค์ทรงไม่ดูดายในเรื่องทรัพยากรน้ำของประเทศ ตามที่พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสว่า “น้ำคือชีวิต”</div> | ||
− | <div style="text-indent: 30px; padding-top:15px">“สิ่งที่ผมประทับใจในพระองค์ คือ การที่พระองค์ทรงทำในสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้นได้ ไม่มีน้ำก็ทำให้มีน้ำ แถมยังควบคุมเวลาและสถานที่ที่ตกได้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าเราจะควบคุมเรื่องเหล่านี้ได้ หากมีโอกาสได้ฟังข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศ เช่น ซีเอ็นเอ็น ก็จะทราบว่าเขากล่าวถึงในหลวงของเราด้วยน้ำเสียงที่ยกย่องพระองค์มาก และเมื่อพูดถึงพระองค์ในฐานะที่เป็น King of Thailand แล้ว | + | <div style="text-indent: 30px; padding-top:15px">“สิ่งที่ผมประทับใจในพระองค์ คือ การที่พระองค์ทรงทำในสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้นได้ ไม่มีน้ำก็ทำให้มีน้ำ แถมยังควบคุมเวลาและสถานที่ที่ตกได้ด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่าเราจะควบคุมเรื่องเหล่านี้ได้ หากมีโอกาสได้ฟังข่าวจากสำนักข่าวต่างประเทศ เช่น ซีเอ็นเอ็น ก็จะทราบว่าเขากล่าวถึงในหลวงของเราด้วยน้ำเสียงที่ยกย่องพระองค์มาก และเมื่อพูดถึงพระองค์ในฐานะที่เป็น King of Thailand แล้ว คนทั่วโลกก็จะรับรู้และ ยอมรับพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นนักคิดที่คิดเก่งมากๆ แถมทรงทำได้ โดยทำได้เรียบร้อย และไม่วุ่นวาย” ดร.เกษม กล่าวทิ้งท้ายด้วยความปลื้มปีติในพ่อหลวงผู้ทรงทุ่มเทพระวรกายเพื่อคนไทยเสมอมา</div> |
<div style="text-indent: 30px; padding-top:15px; color:darkblue">'''“ฝนหลวง”''' จึงเป็นหนึ่งสายน้ำที่ฉ่ำเย็นเสมอสำหรับคนไทย ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงใช้พระสติปัญญา พระวิริยะที่ไม่ย่อท้อ และพระปรีชาญาณในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทรงงานหนักเพื่อสงเคราะห์คนไทยตลอด 60 ปีที่ทรงครองราชย์ แม้ว่าปัญหาที่ทรงประสบจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติ ซึ่งคนทั่วไปจะเมินหน้าหนีตั้งแต่แรกเห็น ทว่าพระองค์กลับมุ่งพระทัยมั่นที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ จึงทรงเป็นแบบอย่างให้แก่นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยไทยเรื่อยมา ซึ่งสาเหตุที่ค้ำจุนให้พระองค์ทรงมีความมุ่งมั่นถึงเพียงนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะ “พระปณิธานที่จะทรงงานเพื่อประชาชนของพระองค์” นั่นเอง | <div style="text-indent: 30px; padding-top:15px; color:darkblue">'''“ฝนหลวง”''' จึงเป็นหนึ่งสายน้ำที่ฉ่ำเย็นเสมอสำหรับคนไทย ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงใช้พระสติปัญญา พระวิริยะที่ไม่ย่อท้อ และพระปรีชาญาณในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทรงงานหนักเพื่อสงเคราะห์คนไทยตลอด 60 ปีที่ทรงครองราชย์ แม้ว่าปัญหาที่ทรงประสบจะเป็นปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติ ซึ่งคนทั่วไปจะเมินหน้าหนีตั้งแต่แรกเห็น ทว่าพระองค์กลับมุ่งพระทัยมั่นที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ได้ จึงทรงเป็นแบบอย่างให้แก่นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยไทยเรื่อยมา ซึ่งสาเหตุที่ค้ำจุนให้พระองค์ทรงมีความมุ่งมั่นถึงเพียงนี้ ก็น่าจะเป็นเพราะ “พระปณิธานที่จะทรงงานเพื่อประชาชนของพระองค์” นั่นเอง |
รุ่นแก้ไขเมื่อ 15:40, 5 มีนาคม 2551
ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล กอปรกับพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โครงการพระราชดำริ “ฝนหลวง” หรือ “ฝนเทียม” จึงเกิดขึ้นเมื่อกึ่งศตวรรษที่แล้ว และเป็นคำติดหูคนไทยเรื่อยมา ถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการทำฝนเทียมโดยพระเจ้าแผ่นดินทรงลงพระหัตถ์ด้วยพระองค์เอง ทั้งนี้ เพื่อบรรเทาความทุกข์ยากของ “พวกเรา” เหล่าพสกนิกรชาวไทยจากปัญหาความแห้งแล้งของผืนดินและแหล่งน้ำ ที่สร้างความเดือดร้อนให้เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละปี
นานเท่าใดแล้วที่ฝนหลวงชโลมความชุ่มชื่นสู่ผืนดิน...
ด้วยเหตุนี้ “ฝนหลวง” หรือ “ฝนเทียม” จึงเกิดขึ้น โดยการประยุกต์ผลการวิจัยค้นคว้าทางวิชาการด้านฝนเทียมของสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอิสราเอล ภายใต้การพระราชทานข้อแนะนำอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดตั้ง “สำนักงานปฏิบัติการฝนหลวง” ขึ้นเพื่อรับผิดชอบการดำเนินงานฝนหลวงจวบจนปัจจุบัน
ขั้นตอนที่ 1 “ก่อกวน” เป็นการกระตุ้นให้เมฆรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนเพื่อใช้เป็นแกนกลางในการสร้างกลุ่มเมฆฝนในระยะต่อมา สารเคมีที่ใช้ได้แก่ แคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมคาร์ไบด์ แคลเซียมออกไซด์ หรือส่วนผสมระหว่างเกลือแกงกับสารยูเรีย หรือสารผสมระหว่างสารยูเรียกับแอมโมเนียไนเตรต ซึ่งสารผสมดังกล่าวจะก่อให้เกิดกระบวนการกลั่นตัวของไอน้ำในอากาศ
ขั้นตอนที่ 2 “เลี้ยงให้อ้วน” ใช้สารเคมี คือ เกลือแกง สารประกอบสูตร ท.1 สารยูเรีย แอมโมเนียไนเตรต น้ำแข็งแห้ง และอาจใช้สารแคลเซียมคลอไรด์ร่วมด้วยเพื่อให้เกิดแกนเม็ดไอน้ำให้กลุ่มเมฆมีความหนาแน่นเพิ่มขึ้น
ขั้นตอนที่ 3 “โจมตี” สารเคมีที่ใช้ในขั้นตอนนี้เป็นสารเย็นจัด คือ ซิลเวอร์ไอโอได และน้ำแข็งแห้งเพื่อให้เกิดภาวะไม่สมดุลมากที่สุด ซึ่งจะเกิดเป็นเม็ดน้ำที่มีขนาดใหญ่มากและตกลงเป็นฝนในที่สุด
ข้อควรระวังข้อหนึ่งในการทำฝนเทียม คือ ในทุกขั้นตอนจะต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์การตัดสินใจที่จะเลือกใช้สารเคมีในปริมาณที่พอเหมาะ และต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ สภาพภูมิประเทศ ทิศทางและความเร็วของลม ตลอดจนการกำหนดบริเวณหรือแนวพิกัดที่จะโปรยสารเคมีด้วย
1.เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนน้ำในการเกษตรช่วงที่เกิดภาวะฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วงยาวนาน เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำให้กับพื้นที่ลุ่มรับน้ำของแม่น้ำสายต่างๆ ที่มีปริมาณน้ำต้นทุนลดลง
2.เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค และเป็นการเสริมสร้างเส้นทางคมนาคมทางน้ำในบริเวณแม่น้ำที่ตื้นเขิน
3.เพื่อป้องกันและบำบัดภาวะมลพิษของสิ่งแวดล้อม โดยฝนหลวงจะเข้าเจือจางน้ำเสียอันเกิดจากการระบายน้ำเสียและขยะมูลฝอยสู่แม่น้ำเจ้าพระยาลงได้
4.เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า
แหล่งข้อมูล โดย ผู้จัดการออนไลน์ 6 มิถุนายน 2549