ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชอำนาจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ"

(สร้างหน้าใหม่: <div id="bg_g8"> <div id="bg_treeb"> <center><h1>ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ ตามบทบัญญัติ...)
 
 
(ไม่แสดง 3 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน)
แถว 1: แถว 1:
 
<div id="bg_g8">
 
<div id="bg_g8">
<div id="bg_treeb">
+
<center><h1>ทรงประกอบพระราชกรณียกิจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ</h1></center>
<center><h1>ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ
+
<div class="kindent">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหาในระบอบประชาธิปไตย มีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ผ่านสถาบันต่างๆ ของรัฐ คือ บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓ ได้กำหนดว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”
ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ</h1></center>
+
 
<div class="kindent">
+
รวมถึงมาตรา ๘ ที่บัญญัติไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” โดยจะไม่ทรงประกอบการใดทางการเมืองด้วยพระองค์เอง ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ หากเกิดความคลาดเคลื่อนผิดพลาดใดๆ ย่อมถือว่ามิได้ทรงกระทำผิด เพราะบุคคลที่รับผิดชอบต่อความคลาดเคลื่อนผิดพลาดนั้น คือองค์กรเจ้าของเรื่องและผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ที่ถือเป็นผู้แทนขององค์กรนั้นๆ ในรัฐธรรมนูญ ยังบัญญัติถึงพระราชฐานะและพระราชอำนาจอื่นๆ อีกหลายประการ ได้แก่ “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ และ “พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย” ตามมาตรา ๑๐ รวมถึง “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์” ตามมาตรา ๑๑
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหา
+
 
ในระบอบประชาธิปไตย มีพระราชอำนาจในการบริหาร
+
บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญได้บัญญัติถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในการเลือกและแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิมาดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีและองคมนตรี ข้าราชการในพระองค์ และสมุหราชองครักษ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และพระรัชทายาทเพื่อสืบราชสันตติวงศ์ตามพระราชอัธยาศัย ตามมาตรา ๑๒ ๑๗ ๑๘ และ ๒๒ ตามลำดับ
ราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ผ่าน
 
สถาบันต่างๆ ของรัฐ คือ บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญ
 
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓
 
ได้กำหนดว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย
 
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้น
 
ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติ
 
แห่งรัฐธรรมนูญนี้”
 
รวมถึงมาตรา ๘ ที่บัญญัติไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์
 
ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะ
 
ละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์
 
ในทางใดๆ มิได้” โดยจะไม่ทรงประกอบการใดทางการเมือง
 
ด้วยพระองค์เอง ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และ
 
อำนาจตุลาการ หากเกิดความคลาดเคลื่อนผิดพลาดใดๆ
 
ย่อมถือว่ามิได้ทรงกระทำผิด เพราะบุคคลที่รับผิดชอบ
 
ต่อความคลาดเคลื่อนผิดพลาดนั้น คือองค์กรเจ้าของเรื่อง
 
และผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ที่ถือเป็นผู้แทน
 
ขององค์กรนั้นๆ ในรัฐธรรมนูญ ยังบัญญัติถึงพระราช
 
ฐานะและพระราชอำนาจอื่นๆ อีกหลายประการ ได้แก่
 
“พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็น
 
อัครศาสนูปถัมภก” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙
 
และ “พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย”
 
ตามมาตรา ๑๐ รวมถึง “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่ง
 
พระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทาน
 
เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ตามมาตรา ๑๑
 
บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญได้บัญญัติถึงพระราช
 
อำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในการเลือกและ
 
แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิมาดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี
 
และองคมนตรี ข้าราชการในพระองค์ และสมุหราช
 
องครักษ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และพระรัชทายาท
 
เพื่อสืบราชสันตติวงศ์ตามพระราชอัธยาศัย ตามมาตรา
 
๑๒ ๑๗ ๑๘ และ ๒๒ ตามลำดับ
 
 
</div>
 
</div>
 +
<center>
 +
<span style="color:#754C23">'''การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญผ่านองค์กร'''</span>
 +
 +
[[ภาพ:021009-การใช้พระราชอำนาจ.jpg|500px|center]]
 +
 +
<span style="color:#754C23">'''การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามนิติราชประเพณี'''</span>
 +
 +
[[ภาพ:021009-การใช้พระราชอำนาจ2.jpg|500px|center]]
 +
</center>
 +
 +
'''ที่มา:''' รัฐสภาไทยใต้ร่มพระบารมี ๖๐ ปี ทรงครองราชย์ พุทธศักราช ๒๕๔๙ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
 +
 +
<h3>ทรงสร้างพื้นฐานประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน</h3>
 +
<div class="kindent">พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพื้นฐานประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีรัฐสภามีรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในต้นรัชกาล ให้มีความเข้มแข็ง และเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้มีความก้าวหน้าในระยะเวลาต่อมา ทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการอย่างถูกต้อง บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม อันเป็นการประกอบพระราชกรณียกิจภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้งานบริหารประเทศดำเนินไปได้ราบรื่น
 +
 +
ตลอดเวลา ๖๐ ปี แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว ๑๓ ฉบับ โดยได้พระราชทานรัฐธรรมนูญครั้งแรกเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๕ และเสด็จพระราชดำเนินไปในรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ๓๓ ครั้ง โดยมีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ นอกจากนี้ ทุกๆ ครั้งที่คณะผู้บริหารประเทศขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายคำสัตย์ปฏิญาณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานคำแนะนำรวมถึงพระบรมราโชวาทให้ตั้งตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริตและดำเนินการใดๆ ด้วยความตั้งใจเพื่อประโยชน์แห่งส่วนรวม อันเป็นแนวทางในการพัฒนาและบริหารประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ามั่นคงสืบไป
  
 
[[หมวดหมู่:ในฐานะพระมหากษัตริย์]]
 
[[หมวดหมู่:ในฐานะพระมหากษัตริย์]]
</div></div>
+
</div>

รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 16:55, 2 ตุลาคม 2552

ทรงประกอบพระราชกรณียกิจตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหาในระบอบประชาธิปไตย มีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ผ่านสถาบันต่างๆ ของรัฐ คือ บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มาตรา ๓ ได้กำหนดว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทยพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้”

รวมถึงมาตรา ๘ ที่บัญญัติไว้ว่า “องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้” โดยจะไม่ทรงประกอบการใดทางการเมืองด้วยพระองค์เอง ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ หากเกิดความคลาดเคลื่อนผิดพลาดใดๆ ย่อมถือว่ามิได้ทรงกระทำผิด เพราะบุคคลที่รับผิดชอบต่อความคลาดเคลื่อนผิดพลาดนั้น คือองค์กรเจ้าของเรื่องและผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ที่ถือเป็นผู้แทนขององค์กรนั้นๆ ในรัฐธรรมนูญ ยังบัญญัติถึงพระราชฐานะและพระราชอำนาจอื่นๆ อีกหลายประการ ได้แก่ “พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ และทรงเป็นอัครศาสนูปถัมภก” ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๙ และ “พระมหากษัตริย์ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย” ตามมาตรา ๑๐ รวมถึง “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์” ตามมาตรา ๑๑

บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญได้บัญญัติถึงพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์โดยเฉพาะในการเลือกและแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิมาดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีและองคมนตรี ข้าราชการในพระองค์ และสมุหราชองครักษ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และพระรัชทายาทเพื่อสืบราชสันตติวงศ์ตามพระราชอัธยาศัย ตามมาตรา ๑๒ ๑๗ ๑๘ และ ๒๒ ตามลำดับ

การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญผ่านองค์กร

021009-การใช้พระราชอำนาจ.jpg

การใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามนิติราชประเพณี

021009-การใช้พระราชอำนาจ2.jpg

ที่มา: รัฐสภาไทยใต้ร่มพระบารมี ๖๐ ปี ทรงครองราชย์ พุทธศักราช ๒๕๔๙ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร

ทรงสร้างพื้นฐานประชาธิปไตยอย่างยั่งยืน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพื้นฐานประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีรัฐสภามีรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ในต้นรัชกาล ให้มีความเข้มแข็ง และเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยให้มีความก้าวหน้าในระยะเวลาต่อมา ทรงใช้พระราชอำนาจผ่านฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารและฝ่ายตุลาการอย่างถูกต้อง บริสุทธิ์ เที่ยงธรรม อันเป็นการประกอบพระราชกรณียกิจภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้งานบริหารประเทศดำเนินไปได้ราบรื่น

ตลอดเวลา ๖๐ ปี แห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว ๑๓ ฉบับ โดยได้พระราชทานรัฐธรรมนูญครั้งแรกเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๕ และเสด็จพระราชดำเนินไปในรัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภาสมัยสามัญทั่วไป ๓๓ ครั้ง โดยมีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๙๓ นอกจากนี้ ทุกๆ ครั้งที่คณะผู้บริหารประเทศขอพระราชทานพระบรมราชวโรกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทเพื่อถวายคำสัตย์ปฏิญาณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะพระราชทานคำแนะนำรวมถึงพระบรมราโชวาทให้ตั้งตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริตและดำเนินการใดๆ ด้วยความตั้งใจเพื่อประโยชน์แห่งส่วนรวม อันเป็นแนวทางในการพัฒนาและบริหารประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ามั่นคงสืบไป