ผลต่างระหว่างรุ่นของ "สนพระราชหฤทัยใฝ่ศึกษา"
Haiiwiki (คุย | มีส่วนร่วม) (สร้างหน้าใหม่: <div id="bg_g8"> <div id="bg_treeb"> <center><h1>พระราชจริยวัตร: สนพระราชหฤทัยใฝ่ศึกษา<...) |
Haiiwiki (คุย | มีส่วนร่วม) |
||
(ไม่แสดง 2 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
แถว 2: | แถว 2: | ||
<div id="bg_treeb"> | <div id="bg_treeb"> | ||
<center><h1>พระราชจริยวัตร: สนพระราชหฤทัยใฝ่ศึกษา</h1></center> | <center><h1>พระราชจริยวัตร: สนพระราชหฤทัยใฝ่ศึกษา</h1></center> | ||
− | <div class="kindent">ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการถวายอภิบาลจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอย่างเปิดกว้างและมีอิสระทางความคิดทรงเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบพระองค์อย่างสนพระราชหฤทัยยิ่ง โดยเฉพาะยามที่ทรงเล่น ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ในกาลต่อมาว่าเป็นสิ่งที่สร้างประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้แก่ประเทศชาติดังที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา | + | [[ภาพ:021009-การศึกษา-02.jpg|left|200px]]<div class="kindent">ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการถวายอภิบาลจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีอย่างเปิดกว้างและมีอิสระทางความคิดทรงเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบพระองค์อย่างสนพระราชหฤทัยยิ่ง โดยเฉพาะยามที่ทรงเล่น ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ในกาลต่อมาว่าเป็นสิ่งที่สร้างประโยชน์อย่างใหญ่หลวงให้แก่ประเทศชาติดังที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ทรงเล่าไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง <span style="color:#754C23">เจ้านายเล็กๆ - ยุวกษัตริย์</span> ความตอนหนึ่งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล่นสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำและปลูกป่า โดยทรงขุดดินเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ แล้วทรงจัดทำคลองและนำกิ่งไม้มาปักไว้ริมคลอง ทรงชอบอ่านตำรับตำราของพระพี่นางและทรงขอให้ประทานคำอธิบายในบางเรื่อง |
− | + | <div style="clear:both"></div> | |
− | |||
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมพรรษา ๕ พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพฯ จนถึงพุทธศักราช ๒๔๗๖ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษายังต่างประเทศ ทรงศึกษาต่อ | เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมพรรษา ๕ พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพฯ จนถึงพุทธศักราช ๒๔๗๖ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษายังต่างประเทศ ทรงศึกษาต่อ | ||
ในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียน Miremont ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ จากนั้นในพุทธศักราช ๒๔๗๘ ทรงศึกษาต่อที่โรงเรียน Ecole Nouvelle de la Suisse Romande ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติต่อมาจึงทรงศึกษาต่อที่โรงเรียน Gymnase Classique Cantonal | ในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียน Miremont ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ จากนั้นในพุทธศักราช ๒๔๗๘ ทรงศึกษาต่อที่โรงเรียน Ecole Nouvelle de la Suisse Romande ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติต่อมาจึงทรงศึกษาต่อที่โรงเรียน Gymnase Classique Cantonal |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 15:17, 2 ตุลาคม 2552
พระราชจริยวัตร: สนพระราชหฤทัยใฝ่ศึกษา
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเจริญพระชนมพรรษา ๕ พรรษา ทรงเข้ารับการศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนมาแตร์เดอี กรุงเทพฯ จนถึงพุทธศักราช ๒๔๗๖ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงศึกษายังต่างประเทศ ทรงศึกษาต่อ ในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียน Miremont ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ จากนั้นในพุทธศักราช ๒๔๗๘ ทรงศึกษาต่อที่โรงเรียน Ecole Nouvelle de la Suisse Romande ซึ่งเป็นโรงเรียนเอกชนที่รับนักเรียนนานาชาติต่อมาจึงทรงศึกษาต่อที่โรงเรียน Gymnase Classique Cantonal
พุทธศักราช ๒๔๘๘ หลังจากทรงได้รับประกาศนียบัตร Bachelier es Lettres พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาต่อในแผนกวิทยาศาสตร์ (สาขาสหวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์) มหาวิทยาลัยโลซาน ซึ่งเป็นหลักสูตรวิชาที่ทรงสนพระราชหฤทัย แม้พระองค์ได้เปลี่ยนมาศึกษาในวิชารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ในพุทธศักราช ๒๔๘๙ อันเป็นวิชาที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อการดำรงตำแหน่งประมุขของประเทศ แต่ก็ทรงใช้หลักทางวิทยาศาสตร์มาเป็นหลักในการทรงงานตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์กว่า ๖๐ ปี
จากที่ทรงได้รับการศึกษาในระบบส่วนใหญ่จากต่างประเทศ ทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีแนวพระราชดำริที่ลึกซึ้งและพัฒนาเป็นพระราชจริยวัตรส่วนพระองค์ ทรงเปรียบเสมือนนักศึกษาที่ใฝ่หาความรู้ตลอดเวลา ทรง “รับรู้” อย่างถ่องแท้ถึงปัญหาและสาเหตุความทุกข์ยากของประชาชนด้วยการทรงลงพื้นที่เพื่อสังเกตการณ์และรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิด้วยพระองค์เอง ทรงศึกษา ค้นคว้า ทดลอง ตลอดจนทรงนำระบบคอมพิวเตอร์ที่มีการเชื่อมต่อคลังข้อมูลมาช่วยเสริมในการประมวล เพื่อแสวงหาแนวทางแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการของพระองค์ จนเกิดเป็นองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสร้างสรรค์ความอยู่ดีกินดีแก่ประชาชนและการพัฒนาประเทศ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเล็งเห็นว่าการศึกษาและการเรียนรู้เป็นเครื่องมือสำคัญในกระบวนการพัฒนาชีวิตมนุษย์ต่อเนื่องไปจนถึงการพัฒนาสังคมและประเทศชาติอันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การศึกษาในประเทศไทย จึงควรมีการพัฒนาทั้งในระบบและนอกระบบ เพื่อให้ประชาชนทุกเพศ ทุกวัย ทุกสาขาอาชีพ สามารถเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต