ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชประวัติ"
Haiiwiki (คุย | มีส่วนร่วม) (เปลี่ยนทางไปที่ หมวดหมู่:รัชกาลที่9) |
Haiiwiki (คุย | มีส่วนร่วม) |
||
(ไม่แสดง 8 รุ่นระหว่างกลางโดยผู้ใช้คนเดียวกัน) | |||
แถว 1: | แถว 1: | ||
− | + | <div id="bg_g5"> | |
+ | <div id="bg_treeb"> | ||
+ | |||
+ | <h1>พระราชประวัติ</h1> | ||
+ | |||
+ | <div class="kindent">พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จพระราชสมภพ ณ โรงพยาบาลเมาท์ออเบอร์น (Mount Auburn) เมืองเคมบริดจ์ (Cambridge) รัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) สหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช ๑๒๘๙ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ ทรงเป็นพระโอรสองค์ที่ ๓ ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี มีพระนามเดิมว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช</div> | ||
+ | [[ภาพ:ทศ1-10.jpg|120px|ในหลวงกับพระบรมราชชนก พระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช|left]] | ||
+ | พระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๖๖ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๖๘ ณ เมืองไฮเดลเบอร์ก ประเทศเยอรมนี | ||
+ | |||
+ | <div class="kindent">เมื่อทรงเจริญพระชนมายุได้ ๕ พรรษา ได้ทรงเข้ารับการศึกษาชั้นต้น ณ โรงเรียนมาแตร์ เดอี กรุงเทพมหานคร และในปี พ.ศ.๒๔๗๖ ทรงศึกษาต่อในชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนเมียร์มองต์ (Miremont) ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ จากนั้นทรงเข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเอกอล นูแวล เดอ ลา ซืออิส โรมองด์ เมืองแชลลี-ซือ-โลซานน์ (Ecole Nouvelle de la Sussse Romande, Chailly-sur-Lausanne) และทรงเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยโลซานน์โดยทรงเลือกศึกษาในแขนงวิชาวิทยาศาสตร์ | ||
+ | |||
+ | หลังจากที่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๘ แห่งบรมราชจักรีวงศ์ ในปี พ.ศ.๒๔๗๗ แล้ว โดยเสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๘๑ </div> | ||
+ | |||
+ | <div class="kindent" style="display:table; clear:both">[[ภาพ:ทศ2-16.jpg|120px|เสด็จนิวัตพระนคร|right]]กล่าวกันว่า การเสด็จนิวัตพระนครครั้งนี้ เป็นการปลุกความจงรักภักดี ที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นวัฒนธรรมเก่าแก่ ที่หยั่งรากลึก ในสังคมไทยมายาวนานให้ตื่นขึ้น หลังจากที่บ้านเมืองได้ขาดองค์พระประมุข มานานถึง ๓ ปี มีการรื้อฟื้นพระราชประเพณีและ ขนบธรรมเนียมต่างๆ ที่ว่างเว้นไปนานขึ้นมา การได้ชื่นชมพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เล็กๆ น่ารัก น่าเอ็นดู และสมเด็จพระราชอนุชาที่ประดุจฝาแฝด ทำให้ประชาชนเบิกบานแช่มชื่น และเพิ่มพูนความผูกพันอย่างแน่นแฟ้นต่อพระองค์</div> | ||
+ | |||
+ | <div class="kindent">จนถึงปี พ.ศ.๒๔๘๘ จึงโดยเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่ ๒ ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง และเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมสำเพ็งโดยการเสด็จฯ ในครั้งนี้เป็นเรื่องเล่ากันไม่มีที่สิ้นสุด เพราะไม่ใช่การเสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมธรรมดา แต่เป็นการเสด็จฯ เพื่อระงับข้อพิพาท ประสานรอยร้าว ระหว่างชาวจีนและชาวไทย | ||
+ | |||
+ | จนกระทั่งวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน คณะรัฐบาลกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอดุลยเดช ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมพรรษาเพียง ๑๙ พรรษา เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ | ||
+ | |||
+ | แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงต้องเสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาต่อในเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙ ในครั้งนี้ทรงเปลี่ยนแปลงแขนงวิชาที่กำลังทรงศึกษา เพื่อให้เหมาะสมและประโยชน์แก่การปกครองประเทศในอนาคต | ||
+ | |||
+ | พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๔๙๒ ทรงศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซานน์ โดยทรงเปลี่ยนแนวการศึกษาของพระองค์จากสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่ทรงศึกษาอยู่เดิม เป็นสาขาวิชาเกี่ยวกับการปกครอง เช่น กฎหมาย อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เป็นต้น | ||
+ | |||
+ | ในช่วงที่ทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศได้ทรงมีโอกาสใช้ชีวิตอย่างธรรมดา เรียบง่าย ใกล้ชิดกับสามัญชน และทรงศึกษาเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในทุกระดับชั้น ทรงทุ่มเททั้งพระวรกายและ พระสติปัญญาในการศึกษาอย่างเต็มพระกำลัง ทั้งนี้ ก็เพื่อทรงเตรียมพระองค์ ในการที่จะทรงเป็นประมุขของประเทศ | ||
+ | </div> | ||
+ | |||
+ | <div class="kindent">ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณี ในวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง เฉลิมพระบรมนามาภิไธยจารึกในพระสุพรรณบัฏว่าพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ในวันมหามงคลนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานปฐมบรมราชโองการแก่ประชาชนชาวไทยว่า | ||
+ | |||
+ | [[ภาพ:ทศ3-05.jpg|300px|พระราชพิธีบรมราชาภิเษก|center]] | ||
+ | |||
+ | <div class="kgreen" align="center">'''"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"''' </div> | ||
+ | |||
+ | วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายชัยมงคล และทรงมีพระราชดำรัสตอบความตอนหนึ่งว่า | ||
+ | "ขอให้ท่านทั้งหลายจงเชื่อเถิดว่า ข้าพเจ้ามีความอาลัยห่วงใย และตั้งใจที่จะทำนุบำรุงความสุข ความเจริญให้เกิดแก่อาณาประชาราษฎร์ชาวไทยโดยจริงใจอยู่เสมอ หากแต่ในขณะนี้ข้าพเจ้ายังอยู่ในระหว่างที่ยังต้องได้รับการพิทักษ์รักษาของแพทย์ เพื่อให้กลับมีสุขภาพและอนามัยสมบูรณ์ จึงจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้ที่ได้ทำการรักษาข้าพเจ้ามาแต่ต้นนั้นต่อไปอีกก่อน และในโอกาสนั้นก็จะได้ศึกษาและดูกิจการไปด้วย เพื่อจะได้นำมาประกอบความดำริในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป ข้าพเจ้ารู้สึกจับใจมากที่ท่านทั้งหลายได้ต้อนรับข้าพเจ้าตั้งแต่วันที่ได้กลับสู่พระนคร และยิ่งมาได้เห็นไมตรีจิตอันสำแดงแก่ข้าพเจ้าในวันนี้ ก็ยิ่งมีความปลาบปลื้มเป็นทวีคูณด้วยความโสมนัสยินดี" | ||
+ | </div> | ||
+ | |||
+ | |||
+ | <h3>๖๐ ปี ครองราชย์ ประโยชน์สุข ประชาราษฎร์</h3> | ||
+ | ---- | ||
+ | |||
+ | {| | ||
+ | |ประการแรก|| คือการที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตามุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน | ||
+ | |-style="vertical-align: top" | ||
+ | |ประการที่สอง|| คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันประสานงานประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผล <br />ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่นและแก่ประเทศชาติ | ||
+ | |-style="vertical-align: top" | ||
+ | |ประการที่สาม|| คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกาและในระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน | ||
+ | |-style="vertical-align: top" | ||
+ | |ประการที่สี่ ||คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคง<br />อยู่ในเหตุในผล หากความคิดจิตใจและการประพฤติปฏิบัติที่ลงรอยเดียวกัน ในทางที่ดีที่เจริญนี้<br />ยังมีพร้อมมูลในกายในใจของคนไทย ก็มั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไปได้ | ||
+ | |} | ||
+ | <div style="text-align:right">พระราชดำรัสพระราชทานแก่พสกนิกรที่เข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล<br /> ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙</div> | ||
+ | |||
+ | |||
+ | <h3>ปัจจุบันก็ยังทรงงาน</h3> | ||
+ | ---- | ||
+ | <div class="kindent">จากพระปฐมบรมราชโองการ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" จนถึงปัจจุบัน เป็นเวลากว่า ๖๐ ปี ที่แสดงให้เห็นถึงพระราชปณิธานที่ทรงมุ่งมั่นจะสร้างความสุข บรรเทาความทุกข์ให้กับประชาชนบนแผ่นดินไทย โดยจะเห็นได้จากการที่เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมราษฎรที่อาศัยพระบรมโพธิสมภารไปทั่วผืนแผ่นดินไทย ทรงทราบถึงชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรในแต่ละภูมิภาค และปัญหาที่พวกเขาเหล่านั้นได้รับ จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้หน่วยงานต่างๆ ได้เข้าไปดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที และมีประสิทธิภาพโดยจะเห็นได้จากโครงการตามพระราชดำริ และโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริที่ได้กระจายอยู่ทั่วผืนแผ่นดินไทย กว่า ๓,๐๐๐ โครงการ | ||
+ | |||
+ | แม้ว่าในระยะหลังพระองค์ท่านจะมิได้ออกทรงงานในพื้นที่ต่างๆ มากนัก แต่พระองค์ท่านก็ยังทรงทราบถึงความทุกข์ของพสกนิกร และทรงมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ พร้อมทั้งพิจารณาแนวทางให้ความช่วยเหลือ และนำความกราบบังคมทูล ซึ่งในบางครั้งยังมีพระราชวินิจฉัย เพิ่มเติมในบางเรื่องเพื่อให้ราษฎรของพระองค์ท่าน ได้รับประโยชน์สูงสุดและนำไปสู่ประโยชน์สุขของประชาชนอย่างแท้จริง</div> | ||
+ | </div> | ||
+ | |||
+ | {{ดูเพิ่มเติม|[[พระราชพิธีราชาภิเษกสมรสและพระราชพิธีบรมราชาภิเษก]] / [[พระราชโอรส พระราชธิดา และพระราชนัดดา]] / [[ทรงพระผนวช]]}} | ||
+ | </div> | ||
+ | |||
+ | |||
+ | [[หมวดหมู่:รัชกาลที่9]][[หมวดหมู่:พระราชประวัติ]] |
รุ่นแก้ไขปัจจุบันเมื่อ 11:27, 5 ตุลาคม 2552
พระราชประวัติ
พระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤษภาคม ๒๔๖๖ ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๖๘ ณ เมืองไฮเดลเบอร์ก ประเทศเยอรมนี
จนกระทั่งวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน คณะรัฐบาลกราบบังคมทูลเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าอดุลยเดช ซึ่งขณะนั้นมีพระชนมพรรษาเพียง ๑๙ พรรษา เสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงต้องเสด็จพระราชดำเนินกลับไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาต่อในเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๔๘๙ ในครั้งนี้ทรงเปลี่ยนแปลงแขนงวิชาที่กำลังทรงศึกษา เพื่อให้เหมาะสมและประโยชน์แก่การปกครองประเทศในอนาคต
พ.ศ. ๒๔๙๐ - ๒๔๙๒ ทรงศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซานน์ โดยทรงเปลี่ยนแนวการศึกษาของพระองค์จากสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่ทรงศึกษาอยู่เดิม เป็นสาขาวิชาเกี่ยวกับการปกครอง เช่น กฎหมาย อักษรศาสตร์ รัฐศาสตร์ รัฐประศาสนศาสตร์ เป็นต้น
ในช่วงที่ทรงศึกษาอยู่ต่างประเทศได้ทรงมีโอกาสใช้ชีวิตอย่างธรรมดา เรียบง่าย ใกล้ชิดกับสามัญชน และทรงศึกษาเรียนรู้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในทุกระดับชั้น ทรงทุ่มเททั้งพระวรกายและ พระสติปัญญาในการศึกษาอย่างเต็มพระกำลัง ทั้งนี้ ก็เพื่อทรงเตรียมพระองค์ ในการที่จะทรงเป็นประมุขของประเทศ
วันที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ประชาชนเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายชัยมงคล และทรงมีพระราชดำรัสตอบความตอนหนึ่งว่า "ขอให้ท่านทั้งหลายจงเชื่อเถิดว่า ข้าพเจ้ามีความอาลัยห่วงใย และตั้งใจที่จะทำนุบำรุงความสุข ความเจริญให้เกิดแก่อาณาประชาราษฎร์ชาวไทยโดยจริงใจอยู่เสมอ หากแต่ในขณะนี้ข้าพเจ้ายังอยู่ในระหว่างที่ยังต้องได้รับการพิทักษ์รักษาของแพทย์ เพื่อให้กลับมีสุขภาพและอนามัยสมบูรณ์ จึงจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้ที่ได้ทำการรักษาข้าพเจ้ามาแต่ต้นนั้นต่อไปอีกก่อน และในโอกาสนั้นก็จะได้ศึกษาและดูกิจการไปด้วย เพื่อจะได้นำมาประกอบความดำริในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป ข้าพเจ้ารู้สึกจับใจมากที่ท่านทั้งหลายได้ต้อนรับข้าพเจ้าตั้งแต่วันที่ได้กลับสู่พระนคร และยิ่งมาได้เห็นไมตรีจิตอันสำแดงแก่ข้าพเจ้าในวันนี้ ก็ยิ่งมีความปลาบปลื้มเป็นทวีคูณด้วยความโสมนัสยินดี"
๖๐ ปี ครองราชย์ ประโยชน์สุข ประชาราษฎร์
ประการแรก | คือการที่ทุกคนคิด พูด ทำ ด้วยความเมตตามุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน |
ประการที่สอง | คือ การที่แต่ละคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันประสานงานประสานประโยชน์กัน ให้งานที่ทำสำเร็จผล ทั้งแก่ตน แก่ผู้อื่นและแก่ประเทศชาติ |
ประการที่สาม | คือ การที่ทุกคนประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในความสุจริต ในกฎกติกาและในระเบียบแบบแผน โดยเท่าเทียมเสมอกัน |
ประการที่สี่ | คือ การที่ต่างคนต่างพยายามทำความคิด ความเห็นของตนให้ถูกต้อง เที่ยงตรง และมั่นคง อยู่ในเหตุในผล หากความคิดจิตใจและการประพฤติปฏิบัติที่ลงรอยเดียวกัน ในทางที่ดีที่เจริญนี้ ยังมีพร้อมมูลในกายในใจของคนไทย ก็มั่นใจได้ว่าประเทศไทยจะดำรงมั่นคงอยู่ตลอดไปได้ |
ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙